หน่วยที่
3 คอมพิวเตอร์และระบบคอมพิวเตอร์


1.ประวัติของคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบัน
เป็นอุปกรณีที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องอย่างช้า ๆ หลายร้อยปี
เริ่มจากการสร้างอุปกรณ์ที่ไม่มีกลไกซับซ้อน จนกลายมาเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรานำมาใช้งานในชีวิตประจำวัน
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำมาช่วยทำงานด้านการคำนวณ และมีการพัฒนาไปสู่เครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมงานทางด้านอุตสาหกรรมหรือในโรงงานต่าง
ๆ อุปกรณ์ชิ้นแรกเริ่มจากการคิดค้นของชาวจีนในช่วงปี พ.ศ. 500
มีการประดิษฐ์ลูกคิด
( Abacus )
ขึ้นมาช่วยในการคิดเลข
ถือได้ว่าเครื่องคิดเลขนี้เป็นต้นกำเนิดของเครื่องคิดเลขในยุคต่อมา และในปี
พ.ศ. 2185
แบลส์ พาสคัล ( Blaise Pascal )
นักวิทยาศาสตร์และปรัชญาชาวฝรั่งเศส ได้ประดิษฐ์เครื่องคิดเลขขึ้นมาใช้งาน ( รูปที่
3 (ข))
เครื่องมือที่เขาสร้างขึ้นใช้ในการคำนวณ
สามารถใช้บวกและลบค่าตัวเลขได้อย่างถูกต้อง ในปี
พ.ศ. 2376
ชาร์ล แบบเบจ
ได้สร้างเครื่องคำนวณที่ทำงานโดยอาศัยโปรแกรมเป็นเครื่องแรกของโลก เราให้เกียรติยกย่องว่าเขาเป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์เนื่องจากเครื่องที่เขาสร้างขึ้นเป็นต้นแบบหรือแนวทางที่นำไปสู่การพัฒนาของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้กันในปัจจุบัน

ในปี พ.ศ. 2489
คณะนักวิจัยของประเทศสหรัฐอเมริกาทีมงานหนึ่งได้พัฒนาและสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกมีชื่อเรียกว่า อินิแอ็ก
( ENIAC ) เพื่อใช้ในการคำนวณวิถีกระสุนปืนใหญ่ที่ใช้ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มีความสามารถคำนวณสมการที่สลับซับซ้อนได้รวดเร็วและถูกต้อง ใช้ทำงานทดแทนกำลังคนได้หลายร้อยเท่า ต่อจากนั้น
เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้รับการพัฒนาและปรับปรุงให้ดีมากยิ่งขึ้น มีการพัฒนาจากระบบใหญ่ จนสามารถพัฒนาเป็นระบบเล็ก หรือที่เราเรียกว่า คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ( Personal Computer หรือ PC )
มีความสามารถในการทำงานไม่ด้อยกว่าเครื่องขนาดใหญ่
โดยเราสามารถพบเห็นการนำเครื่องคอมพิวเตอร์ประเภทนี้มาใช้งานทั่วไป เช่น
ในสำนักงานห้างร้านต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการใช้งานที่บ้าน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ช่วยให้เราสามารถใช้เครื่องคอมพิวเตอร์พีซีที่ใช้งานร่วมกับอุปกรณ์พิเศษต่อผ่านสายสัญญาณโทรศัพท์
เพื่อใช้ในการเชื่อมโยงกับเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใดก็ได้ สามารถใช้ระบบอินเทอร์เน็ตสืบค้นข้อมูล
พูดคุยกับเพื่อนชาวต่างประเทศหรือภายในประเทศ
แลกเปลี่ยนข้อมูลรวมถึงการส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ ติดตามเหตุการณ์ต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นทั่วโลกได้รวดเร็วขึ้น
2.ความหมายของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องมือหรืออุปกรณ์ประเภทอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำงานด้วยคำสั่ง ชุดคำสั่ง
หรือโปรแกรมต่าง ๆ สามารถเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่ายได้หลายแบบ รวมทั้งเครือข่ายอินเตอร์เน็ตด้วยลักษณะเด่นของคอมพิวเตอร์คือมีศักยภาพสูงในการคำนวณประมวลผลข้อมูลทั้งที่เป็นตัวเลข
รูปภาพ ตัวอักษร และเสียง
ทำให้คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานได้อย่างกว้างขวาง
3. ส่วนประกอบของคอมพิวเตอร์
คอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานได้ครบถ้วนอย่างมีประสิทธิภาพต้องมีองค์ประกอบสำคัญ
ดังนี้
คอมพิวเตอร์ฮาร์ดแวร์ หมายถึง
ส่วนที่ประกอบเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์รวมอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ที่เราสามารถมองเห็นและสัมผัสได้ เช่น ตัวเครื่อง
จอภาพ คีย์บอร์ด และเมาท์ เป็นต้น
จำแนกหน้าที่ของฮาร์ดแวร์ต่าง ๆ
สามารถแบ่งออกเป็นส่วนสำคัญ 5
ส่วน คือ
1. หน่วยรับข้อมูลเข้า(Input
Unit) เป็นวัสดุอุปกรณ์ต่าง
ๆ
ที่นำมาเชื่อมต่อทำหน้าที่ป้อนสัญญาณเข้าสู่ระบบเพื่อกำหนดให้คอมพิวเตอร์ทำงานตามความต้องการทั้งวัสดุอุปกรณ์เกี่ยวข้อง
เช่น แป้นอักขระ (keyboard) เมาส์(mouse) ซีดีรอม(CD-Rom) ไมโครโฟน(Microphone)
ฯลฯ
2. หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit : CPU) ทำหน้าที่เกี่ยวกับการคำนวณทั้งทางตรรกะและคณิตศาสตร์
รวมทั้งการประมวลข้อมูลตามคำสั่งที่ได้รับ
3. หน่วยความจำ (Memory Unit) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่งที่ส่งมาจากหน่วยรับข้อมูล
เพื่อเตรียมส่งไปประมวลผลยังหน่วยประมวลผลกลาง
และเก็บผลลัพธ์ที่ได้มาจากการประมวลผลแล้ว
เพื่อเตรียมส่งไปยังหน่วยแสดงผล
4. หน่วยแสดงผล (Output Unit) ทำหน้าที่แสดงผลข้อมูลที่คอมพิวเตอร์ทำการประมวลหรือผ่านการคำนวณแล้ว
5. อุปกรณ์ต่อพ่วงอื่น ๆ (Peripheral Equipment) เป็นอุปกรณ์ที่นำมาต่อพ่วงเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์
เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่น โมเด็ม
แผงวงจรเชื่อมต่อ เครือข่าย เป็นต้น
4. ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์
ประโยชน์ที่เราได้รับจากการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งาน สามารถแบ่งได้ดังนี้
1.มีความเร็วในการทำงานสูง
เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานในปัจจุบันสามารถประมวลผลคำสั่งในช่วงเวลา 1
วินาทีได้มากกว่าหนึ่งร้อยล้านคำสั่งจึงใช้ในงานคำนวณต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว เช่น
การฝากถอนเงินจากตู้เอทีเอ็ม
เป็นต้น
2.มีประสิทธิภาพในการทำงานสูง สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง
เป็นสัปดาห์ หรือเป็นปี โอกาสเครื่องเสียน้อยมาก
ใช้แทนกำลังคนได้มากมาย
3.มีความถูกต้องแม่นยำตามโปรแกรมที่สั่งงานและข้อมูลที่ใช้
4.เก็บข้อมูลได้มาก ไม่ต้องใช้เอกสารและตู้เก็บ
5.สามารถโอนย้ายข้อมูลจากเครื่องหนึ่งไปอีกเครื่องหนึ่งโดยผ่านระบบเครือข่ายได้อย่างรวดเร็ว ช่วยอำนวยความสะดวกในการใช้งาน
5. ระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ หมายถึง
กรรมวิธีที่คอมพิวเตอร์ทำการใด ๆ กับข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่เป็นประโยชน์ตามความประสงค์ของผู้ใช้มากที่สุด
เช่น การตรวจสอบข้อมูลประชาชนจากระบบทะเบียนราษฎร์ ของสำนักทะเบียนราษฎร์
กรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ระบบเวชระเบียนของโรงพยาบาล ระบบเสียภาษี
ระบบทะเบียนการค้า ระบบทะเบียนประวัติอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ฯลฯ
ถ้าต้องการทราบข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้
สามารถตรวจสอบได้โดยการประมวลผลของระบบคอมพิวเตอร์จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
6. องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์
ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ
4
ส่วน ดังนี้
1.ฮาร์ดแวร์ (hardware) หรือส่วนเครื่อง
2.ซอฟต์แวร์ (software) หรือส่วนชุดคำสั่ง
3.ข้อมูล (data)
4.บุคลากร (people)
ฮาร์ดแวร์
(Hardware)
อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์
(hardware) หมายถึง
ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้
ฮาร์ดแวร์จะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 4
ส่วน ดังนี้คือ
1.ส่วนประมวลผล (processor)
2.ส่วนความจำ (memory)
3.อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก (input-output devices)
4.อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล (storage device)


หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หรือเรียกคำย่อว่า ซีพียู (CPU) คำว่าซีพียู
มีความหมายทางด้านฮาร์ดแวร์ 2 อย่างด้วยกันคือ
1. ตัวชิป (chip) ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
2. ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์หรือกล่องเครื่องที่มีซีพียูบรรจุอยู่
ความหมายส่วนที่ 2
ถ้ามองทางด้านเทคนิคแล้วจะเป็นความหมายที่ไม่ถูกต้อง
เนื่องจากตัวซีพียูเป็นชิปคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เหมือนส่วนสมองของระบบคอมพิวเตอร์
ซีพียูมีหน้าที่หลักในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ประมวลผลและเปรียบเทียบข้อมูลโดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
ความสามารถของซีพียูนั้นพิจารณาความเร็วของการทำงาน
การับส่งข้อมูลการอ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า
สัญญาณนาฬิกา เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน 1
วินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (hertz)
ความสามารถของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้งานในปัจจุบันจะใช้ซีพียูรุ่นเพนเทียมทรี
(pentium III) หรือสูงเกินโดยมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงถึง
1 จิกะเฮิรตซ์ (1 GHz) คือสัญญาณที่มีความเร็ว 1 ล้านรอบใน 1
วินาทีและมีแน้วโน้มที่สามารถพัฒนาให้มีความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
หน่วยความจำ
เราสามารถแยกประเภทของหน่วยความจำ
(memory) ได้ดังนี้
1.หน่วยความจำหลัก
2.หน่วยความจำสำรอง
3. หน่วยเก็บข้อมูล
1.หน่วยความจำหลัก (Main memory) คือ หน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆ
ของเครื่องคอมพิวเตอร์
ประกอบด้วยชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง
ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถถูกนำออกมาใช้ในการประมวลผลในภายหลัง
โดยซีพียูทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง
การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผลและเก็บข้อมูล
ขนาดความจุของหน่วยความจำสามารถคำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล
จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูลและขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บได้สูงสุดในขณะทำงานถ้าพื้นที่ของหน่วยความจำมีมากจะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้นด้วย
หน่วยความจำหลักแบ่งได้ 2 ประเภทคือ
1.1หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM = Random Access Memory)
1.2 หน่วยความจำแบบ “รอม” (Read Only Memory)
1.1หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM = Random Access
Memory) หน่วยความจำแรมเป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล
ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน
ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนส่งให้กับเครื่อง
เมื่อปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับข้อมูลที่ถูกเก็บไว้จะถูกลบหายไป
เราเรียกว่าหน่วยความจำ
ประเภทนี้ว่า
หน่วยความจำแบบลบเลือนได้ (volatile
memory)
1.1 หน่วยความจำแบบ “รอม” (ROM = Read Only Memory) เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์
ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร
ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว
ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย ต้องใช้เทคนิคพิเศษช่วย
ส่วนใหญ่ใช้ในการเก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า
หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน (nonvolatile
memory)
2.หน่วยความจำสำรอง (secondary storage) หน่วยความจำชนิดนี้มีไว้สำหรับสำรองหรือทำงานกับข้อมูลและโปรแกรมขนาดใหญ่เนื่องจากขนาดของหน่วยความจำหลักมีจำกัด
หน่วยความจำสำรองสามารถเก็บไว้ได้หลายแบบ เช่น แผ่นบันทึก (floppy disk) จานบันทึกแบบแข็ง (hard disk) แผ่นซีดีรอม (CD-ROM) และจานแสงแม่เหล็ก เป็นต้น
จานบันทึกข้อมูล
ตัวจานบันทึกข้อมูลแบบแข็ง (Hard Disk) ประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กตั้งแต่หนึ่งแผ่นจนถึงหลายแผ่น
และเครื่องขับจาน (Hard Disk
Drive) เป็นส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์
มีมอเตอร์ทำหน้าที่หมุนแผ่นจานแม่เหล็กด้วยความเร็วสูง
มีหัวแม่เหล็กทำหน้าที่อ่านและเขียนข้อมูลต่างๆ
ลงบนผิวของแผ่นดังกล่าวตามคำสั่งของโปรแกรมหรือผู้ปฏิบัติงานต้องการโดยหัวอ่านและเขียนไม่ได้สัมผัสแผ่นโดยตรงแต่เคลื่อนที่ผ่านแผ่นไปเท่านั้นส่วนการบันทึกข้อมูลได้จำนวนมากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเครื่องและรุ่นที่ใช้ปัจจุบันสามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ขนาด
500 เมกะไบต์ (Megabyte) จนถึง 80
กิกะไบต์ (Gigabyte) หรือมากกว่า

แผ่นบันทึกหรือฟลอปปี้ดิสก์
แผ่นบันทึกข้อมูล (floppy disk) เป็นหน่วยความจำรอง
ตัวแผ่นทำด้วยพลาสติกชนิดอ่อน
มาตรฐานที่นิยมใช้ในขนาดนี้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 3.5 นิ้ว ความจุข้อมูล 1.44 เมกะไบต์
บรรจุในซองพลาสติกแข็งเพื่อป้องกันกับแผ่นบันทึกไม่ให้เสียหายง่าย
ใช้เป็นสื่อในการถ่ายโอนหรือสำเนาแฟ้มข้อมูล นอกจากนี้ยังมีแผ่นบันทึกชนิดพิเศษสามารถเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากถึง
200 เมกะไบต์หรือมากกว่านั้น เช่น
ซิปดิสก์ (Zip disk) แจ๊ซดิสก์ (Jaz disk) เป็นต้น
ซีดีรอม
ซีดี ย่อมาจากคอมแพกดิสก์
และรอมเป็นคำเดียวกับหน่วยความจำแบบรอมคือคำว่า Read Only Memory แผ่นซีดีรอม (CD-ROM)
หรือ แผ่นซีดี
เป็นแผ่นบันทึกข้อมูลที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านข้อมูลที่บันทึกไว้ออกมาใช้
ไม่สามารถบันทึกข้อมูลลงไปได้ ใช้อ่านอย่างเดียว
ลักษณะคล้ายแผ่นซีดีเพลงใช้ระบบเสียงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูลที่เก็บเป็นได้ทั้งตัวอักษร
ตัวเลข เสียง และภาพก็ได้ มีความจุประมาณ 650
เมกะไบต์ หรือมีความจุมากกว่าแผ่นเก็บข้อมูลประมาณ 450
เท่า หรือสามารถเก็บข้อมูลจากหนังสือประมาณ 500
เล่ม

ดีวีดี
ดีวีดี (DVD หรือ
Digital
Versatile Disk) เป็นแผ่นซีดีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด
โดยแผ่นดีวีดีสามารถเก็บข้อมูลได้ไม่ต่ำกว่า 4.7
จิกะไบต์ คาดหมายว่าแผ่นดีวีดีจะถูกนำมาใช้แทนซีดี-รอม เลเชอร์ดิสก์
หรือแม้แต่วิดีโอเทป


จอภาพ
จอภาพ (monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลจากเครื่องคอมพิวเตอร์
สามารถแสดงผลได้ทั้งตัวหนังสือ ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว
โดยทั่วไปนิยมใช้แบบจอภาพสี สามารถแสดงระดับความแตกต่างของสีตั้งแต่ 16,256,65,536 และ 16,177,216
สีความละเอียดของจุดภาพที่เรียกว่าพิกเซล (pixel) ในการแสดงผลที่ปรากฏบนหน้าจอภาพขึ้นอยู่กับขนาดแมทริกซ์ของการแสดง
เช่น 640 x 480, 800 x 600, 1024 x 768 และ 1280 x 1024 จุด

แผงแป้นอักขระ
แผงแป้นอักขระหรือแป้นพิมพ์ (keyboard) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์
สามารถรับเข้าข้อมูลจากการกดแป้นพิมพ์เพื่อส่งต่อไปให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์
แป้นพิมพ์ที่นิยมใช้จะมี 101 แป้น
และแยกแป้นอักขระและตัวเลขออกจากกัน
ส่วนบนจะเป็นแป้นคำสั่งพิเศษเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น
เมาส์
เมาส์ (mouse) เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายตัวหนู
ส่วนของสายสัญญาณจากตัวอุปกรณ์ที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายส่วนหางหนู
เราใช้เมาส์ในการควบคุมตัวชี้ (Pointer)
ที่ปรากฏบนจอภาพให้สามารถเลื่อนไปสู่ตำแหน่งต่างๆ
ที่ต้องการได้โดยง่ายสามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมในการควบคุมคำสั่งก็ได้
จะมีปุ่มควบคุม 2 ปุ่ม
ด้วยกันโดยทำหน้าที่แตกต่างกันดังนี้
1. ปุ่มซ้ายมือถ้ากดหนึ่งครั้งหมายถึงการเลือกและถ้ากดสองครั้งติดต่อกันหมายถึงสั่งให้โปรแกรมหรือสั่งรูปที่เลือกทำงาน
2. ปุ่มขวามือถ้ากดให้แสดงฟังก์ชันพิเศษโดยใช้ตัวชี้เป็นตัวเลือกฟังก์ชันที่ต้องการได้


ในปัจจุบันมีการพัฒนาเมาส์ให้มีรูปร่างสวยงามและกะทัดรัดต่อการใช้งาน
บางรุ่นอาจมีลูกกลมควบคุม (track
ball) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้ด้วย
หมายเหตุ
ปัจจุบันเมาส์ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงทันสมัย
ใช้งานง่ายและสะดวกเพราะบางรุ่นไม่ต้องใช้ลูกกลิ้ง และมีจำนวนปุ่มเมาส์มากถึง 4 ปุ่ม ทั้งยังติดตั้งปุ่มควบคุม Scroll สำหรับการเลื่อนเอกสารขึ้นลงโดยไม่ต้องเคลื่อนเมาส์
และด้วยเทคโนโลยีใหม่กับการส่งสัญญาณด้วยแสง
ทำให้สามารถเคลื่อนเมาส์ได้รวดเร็วบนพื้นผิวทุกประเภท
บุคลากร
(people)บุคลากรคอมพิวเตอร์ (Peopleware) หมายถึงกลุ่มบุคคลที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และโปรแกรม
เช่น นักเขียนโปรแกรม (Programmer)
เป็นผู้นำทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาโปรแกรม
นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
เป็นผู้วิเคราะห์ปัญหาและระบบงานที่มีอยู่แล้วเพื่อแก้ปัญหาและออกแบบระบบใหม่ให้ดีกว่าเดิม
ผู้บริหารระบบ (System
Administrator) เป็นผู้ควบคุมจัดการระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
คนเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านระบบงานคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ
จึงจำเป็นต้องมีไว้เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปที่อาจไม่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เลย
ให้พวกเขาสามารถใช้บริการระบบสารสนเทศได้อย่างสะดวก
และยังเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่รู้ของผู้ใช้ได้
บุคลากรคอมพิวเตอร์
ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์เพราะแต่เดิมนั้น
คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ใช้ยาก บุคลากรที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์จะต้องมีความรู้ในระดับผู้ชำนาญการที่เดียว
แต่ในปัจจุบัน การใช้งานคอมพิวเตอร์มีหลายระดับ
ในระดับพื้นฐานนั้นการใช้งานจะง่ายมาก
เพราะทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สมัยใหม่ได้รับการออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน
เรียกว่า “ เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ” ( User friendly ) ผู้ใช้งานในระดับนี้
เมื่อได้รับการฝึกหัดเพียงเล็กน้อยก็สามารถเริ่มใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตาม
ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน มักมีการต่อเชื่อมกับเครือข่าย
ซึ่งส่วนนี้ยังมีความยุ่งยากพอสมควรนอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่อง ไวรัสคอมพิวเตอร์
ซึ่งเป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์
ไวรัสคอมพิวเตอร์เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดี หรือ นักศึกษาที่หลงผิด (
ร้อนวิชาและอยากทดลองใช้วิชาในทางที่ผิด )
ผลิตขึ้นมาโดยมีเจตนาทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ด้วยเหตุผลดังกล่าว
จึงยังมีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญมาดูแลระบบคอมพิวเตอร์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก
และมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย
บุคลากรคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ ได้แก่
-ผู้ดูแลระบบ (System Administrator)
-นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)
-นักเขียนโปรแกรม (Programmer)
-วิศวกรระบบ (System Engineer)
-วิศวกรเครือข่าย (Network Engineer)
-ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง (Super User)
-ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป (User)
ผู้ดูแลระบบ (System Administrator)ผู้ดูแลระบบ หรือ แอดมิน (อังกฤษ: System administrator, systems
administrator หรือ
sysadmin) เป็น
บุคคลที่ถูกว่าจ้างเพื่อที่จะดูและจัดการระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์
หน้าที่ของผู้ดูแลระบบมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือโครงการ
โดยทั่วไปผู้ดูแลมักจะทำหน้าที่ติดตั้ง ตอบคำถาม ดูแลเซิร์ฟเวอร์
หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่น รวมถึงการวางแผนงาน การดูแล
ควบคุมโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์
นอกจากนี้ผู้ดูแลอาจมีหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ร่วมไปด้วย ในด้านการเขียนโปรแกรม
รวมไปถึงการเตรียมตัว และสอนการใช้งานต่อผู้ใช้ทั่วไป
นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst) บุคลากรด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน
จะมีหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้รวมไปถึงผู้บริหารของหน่วยงานนั้น ๆ
ด้วยว่าต้องการระบบโปรแกรมหรือลักษณะงานแบบไหน อย่างไร
เพื่อจะพัฒนาระบบงานให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด
หน้าที่ดังกล่าวอาจรวมถึงการออกแบบกระบวนการทำงานของระบบโปรแกรมต่าง ๆ ทั้งหมดด้วย
ซึ่งมักจะใกล้ชิดกับผู้ใช้งานมากที่สุดเนื่องจากต้องคอยสอบถามความต้องการเพื่อวิเคราะห์งานอยู่เสมอ
นักเขียนโปรแกรม (Programmer)เมื่อนักวิเคราะห์ระบบทำการวิเคราะห์ระบบงานเสร็จสิ้น
ก็จะส่งต่อมายังผู้ที่ชำนาญในเรื่องของการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะเพื่อสร้างระบบงานนั้นให้ออกมาใช้งานได้จริง
ๆ เราเรียกบุคคลกลุ่มนี้ว่า นักเขียนโปรแกรม หรือ Programmer นั่นเอง
โปรแกรมที่มีขนาดเล็กมาก
นักเขียนโปรแกรมเพียงคนเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการเขียนชิ้นงานนั้น
หน่วยงานบางแห่งจึงต้องมีทีมงานจำนวนมากเพื่อรองรับกับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว
วิธีการเขียนอาจแบ่งกลุ่มโปรแกรมออกเป็นส่วนย่อย ๆ ที่เรียกว่าโมดูล (module) แล้วกระจายงานออกไปให้กับแต่ละคน
จากนั้นจึงจะนำเอาโมดูลที่ได้กลับมารวมกันเป็นโปรแกรมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งช่วยลดเวลาในการเขียนโปรแกรมลงไปได้มาก
วิศวกรระบบ (System Engineer) คือ บุคลากรที่ทำหน้าที่ออกแบบ สร้าง
ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ
ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของฮาร์ดแวร์ หลักการทำงานของฮาร์ดแวร์
สามารถออกแบบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้
มีความรู้ระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าในสาขาอิเล็กทรอนิกส์ วิศวกรรมคอมพิวเตอร์
เป็นต้น
วิศวกรเครือข่าย (Network Engineer)
เป็นผู้ออกแบบและดูแลระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์
CNE (Computer
Network Engineering) กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน
เพราะการทำงานบนคอมพิวเตอร์กำลังเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น การทำงานบนเครือข่าย แทนการทำงาน
บนเครื่องเดียว (Standalone
computer) CNE ทำงานในบริษัทด้าน
ออกแบบเครือข่าย, ศูนย์คอมพิวเตอร์ของธนาคาร
และบริษัทด้านอินเตอร์เน็ต และมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นต้น
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง (Super User) หมายถึง
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่สามารถประยุกต์โปรแกรมเพื่อสร้างผลงานต่าง ๆ ตารมต้องการ
เช่น การสร้างต้นฉบับสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยโปรแกรม Adobe Pagemaker , Adobe InDesign การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยโปรแกรม
Authorware หรือ Captivate การออกแบบบ้านหรือ
เครื่องยนต์กลไกลด้วยโปรแกรม CAD
- Computer Aided Drafting/Design การสร้างสื่อในระบบเครือข่ายด้วยโปรแกรม LMS (Learning Management System) การคำนวณค่าสถิติด้วยโปรแกรม SPSS เป็นต้น
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป (User)หมายถึง
ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป
สามารถทำงานตามหน้าที่ในหน่วยงานนั้นๆ
เช่น การพิมพ์งาน
การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น